รูขุมขนกว้าง
มักพบในคนที่มีผิวมันหรือผิวผสม เพราะว่า ประเภทผิว ลักษณะดังกล่าวนี้ จะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวตาม
ธรรมชาติ ที่ต่อมไขมันสร้างขึ้นมามาก โดยเฉพาะบริเวณทีโซนของใบหน้า ทางออกของน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ที่สร้างขึ้นมานั้น ก็คือ รูขุมขน
วิธีแก้ไข
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมันและกระชับรูขุมขน เช่น โทนเนอร์ ,oil control
ทรีทเมนต์กระชับผิวที่ช่วยได้ เช่น การกระชับผิวด้วยคลื่นเสียงหรือเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อผิวหน้า และการกระชับผิวด้วยลำแสง IPL / APL
ขอบคุณข้อมูล เเละรูปภาำพสวยๆ ค่ะ
http://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1815&pagetype=articles
sew
DIY
http://www.bhg.com/topics/arts-and-crafts/sewing.htm
sew
http://hungryzombiecouture.blogspot.com/
http://loweryourpresserfoot.blogspot.com/
http://missceliespants.blogspot.com/
http://scpbanks.blogspot.com/index.html
http://sew-4-fun.blogspot.com/
http://sewingfantaticdiary.blogspot.com/
http://sewintriguing.blogspot.com/index.html
http://www.ericabunker.com/
Australian Stitches
Threads
Pattern Review
BurdaStyle
women’s clothing patterns
Thanks
http://www.bhg.com/topics/arts-and-crafts/sewing.htm
sew
http://hungryzombiecouture.blogspot.com/
http://loweryourpresserfoot.blogspot.com/
http://missceliespants.blogspot.com/
http://scpbanks.blogspot.com/index.html
http://sew-4-fun.blogspot.com/
http://sewingfantaticdiary.blogspot.com/
http://sewintriguing.blogspot.com/index.html
http://www.ericabunker.com/
Australian Stitches
Threads
Pattern Review
BurdaStyle
women’s clothing patterns
Thanks
Review : Natural Sunscreen SPF 40 (OP)
+
- Cyclopentasiloxane / Dimethicone Crosspolymer :
skin-conditioner, emollient, solvent / stabilizer, thickener
- Ethylhexyl Methoxycinnamate :
sunscreen (uvb)
- Dimethicone / vinyl dimethicone
skin-conditioning agent, protectant
- Silica
abrasive, absorbant, anticaker
- Titanium Dioxide
thickener, lubricant, sunscreen (uva, uvb)
- Caprylic/Capric Triglyceride
emollient, thickener
- Ethylhexyl Salicylate
stabilizer
- Aluminium Starch Octenylsuccinate
absorbent, thickener
- Titanium Dioxide (Ci 77891)
thickener, lubricant, sunscreen (uva, uvb)
- Stearic Acid
surfactant, emollient, thickener, comdogenic=2/5
- Cetyl Dimethicone Copolyol
skin conditioner
- C12-15 Alkyl Benzoate
skin-conditioner, emollient
- polysorbate 20
Emulsifier
- Cetyl Dimethicone Copolyol
- Hydrolysed Silk
UV protection, softens, natural gloss
- Bisabolol
anti-irritant
- Phenyl Trimethicone
skin-conditioner, dry finish
- Propylparaben
preservative
- Ci 77492
uva/uvb absorber
- Ci 77491
coloring agent
- CI 77499
Colorant; COSMETIC COLORANT
- fragrance
fragrance, can cause skin irritant
http://www.cosmetic-ingredients.net/
pupesosweet
DIY - Vase magazine
if you dont know who to manage with your vase magazine ~~ Let's see How ~
Reference :
http://craftzine.com
Reference :
http://craftzine.com
อะไรหนอ ... ตอน ... ยาสามัญประจำบ้าน
รู้หรือไม่ ทำไมคุณหมอถึงใช้น้ำเกลือล้างแผล ไม่ใช้แอลกอฮอล์
เพราะว่ามันแสบยังไงล่ะคะ แต่เหตุผลอื่นๆ ทางการแพทย์ก็มีอยู่นะคะ ลองมาดูกันว่า ถ้าเราเป็นแผล จะสามารถใช้สารหรือยาตัวไหนล้างทำความสะอาดแผลได้บ้าง
สารละลาย (solution) ได้แก่ น้ำยาฆ่าเชื้อ (antiseptic) และน้ำเกลือล้างแผล (0.9%
normal saline) ที่ปราศจากเชื้อ
โซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride, NaCl 0.9% , normal saline) โดยทั่วไป เรียกว่า น้ำเกลือ โดยมีคุณสมบัติเป็น isotonic กับเซลล์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ
แอลกอฮอล์ 70% (alcohol 70%) ใช้สำหรับเช็ดผิวหนังรอบ ๆ แผล สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหนังประมาณร้อยละ 90 ภายใน 2 นาที โดยมีฤทธิ์ทำให้โปรตีนตกตะกอนหรือแตกสลายและจะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อเมื่อ นำไปใช้ในบาดแผล
หรือบริเวณที่มีรอยแผลสด ทำให้สิ่งขับหลั่งเกิดตะกอนขุ่น ซึ่งจะมีผลต่อการอักเสบติดเชื้อบริเวณนั้นได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ เช็ดแผลโดยตรง
ทิงเจอร์ไอโอดีน (tincture iodine) เป็นน้ำยาทำความสะอาดผิวหนังที่ดีมากราคาถูกและมีพิษ (toxicity) ต่อเนื้อเยื่อของร่างกายน้อย เป็น bactericidal
สามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส โดยจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้ประมาณร้อยละ 90 ภายใน 90 วินาที
จึงนิยมใช้เป็นน้ำยาสำหรับทำให้ผิวหนังปราศจากจากเชื้อ อาจใช้ในในการรักษาแผลถลอกได้ โดยใช้ความเข้มข้น 0.8-1%
แต่ มีข้อเสีย คือ เมื่อทาบริเวณผิวหนังแล้วตัวทำละลายจะระเหยไป ทำให้ความเข้มข้นสูงขึ้น ผิวหนังไหม้พองได้ดังนั้นหลังจากใช้น้ำยา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70%
เบตาดีน หรือโปรวิดีน ไอโอดีน (betadine, providone-iodine solution) เป็นน้ำยาที่ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า ทิงเจอร์ไอโอดีนใช้ได้ดีใน mucous membrane โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อ mucous และโปรตีนในสิ่งขับหลั่ง
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogenperoxcide) จัดอยู่ในกลุ่ม oxide ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้โดยการสร้าง oxidant คือ hydroxyl free radical (-OH) ไปทำลายจุลินทรีย์ (microorganism)
ใช้ สำหรับล้างแผลสกปรก แผลมีหนองหรือลิ่มเลือด ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แปรสภาพได้ง่ายจะสลายตัวถ้ามีสารอื่นเจือปนหรือถูกความ ร้อนและแสงสว่าง
ดังนั้นจงควรเก็บไว้ในขวดสีชาที่มีฝาปิดแน่น
เดกิน (dakin’s solution หรือ hyperchlorite solution) สามารถฆ่าเชื้อโรคและทำลายเนื้อตาย (necrotic tissue) ได้
จึงนิยมใช้กับแผลที่มีเนื้อตาย แต่มีข้อเสียคือจะละลายลิ่มเลือดและทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้
ไม่ควรใช้ในแผลสดเพราะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ก่อนทำแผลจึงควรเจือจางความเข้มข้น
ที่มา
http://student.mahidol.ac.th/~u4809033/instrument.html
http://www.trueplookpanya.com
สารละลาย (solution) ได้แก่ น้ำยาฆ่าเชื้อ (antiseptic) และน้ำเกลือล้างแผล (0.9%
normal saline) ที่ปราศจากเชื้อ
โซเดียมคลอไรด์ (sodium chloride, NaCl 0.9% , normal saline) โดยทั่วไป เรียกว่า น้ำเกลือ โดยมีคุณสมบัติเป็น isotonic กับเซลล์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ
แอลกอฮอล์ 70% (alcohol 70%) ใช้สำหรับเช็ดผิวหนังรอบ ๆ แผล สามารถฆ่าเชื้อโรคที่ผิวหนังประมาณร้อยละ 90 ภายใน 2 นาที โดยมีฤทธิ์ทำให้โปรตีนตกตะกอนหรือแตกสลายและจะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อเมื่อ นำไปใช้ในบาดแผล
หรือบริเวณที่มีรอยแผลสด ทำให้สิ่งขับหลั่งเกิดตะกอนขุ่น ซึ่งจะมีผลต่อการอักเสบติดเชื้อบริเวณนั้นได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ เช็ดแผลโดยตรง
ทิงเจอร์ไอโอดีน (tincture iodine) เป็นน้ำยาทำความสะอาดผิวหนังที่ดีมากราคาถูกและมีพิษ (toxicity) ต่อเนื้อเยื่อของร่างกายน้อย เป็น bactericidal
สามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส โดยจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้ประมาณร้อยละ 90 ภายใน 90 วินาที
จึงนิยมใช้เป็นน้ำยาสำหรับทำให้ผิวหนังปราศจากจากเชื้อ อาจใช้ในในการรักษาแผลถลอกได้ โดยใช้ความเข้มข้น 0.8-1%
แต่ มีข้อเสีย คือ เมื่อทาบริเวณผิวหนังแล้วตัวทำละลายจะระเหยไป ทำให้ความเข้มข้นสูงขึ้น ผิวหนังไหม้พองได้ดังนั้นหลังจากใช้น้ำยา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70%
เบตาดีน หรือโปรวิดีน ไอโอดีน (betadine, providone-iodine solution) เป็นน้ำยาที่ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า ทิงเจอร์ไอโอดีนใช้ได้ดีใน mucous membrane โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อ mucous และโปรตีนในสิ่งขับหลั่ง
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogenperoxcide) จัดอยู่ในกลุ่ม oxide ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้โดยการสร้าง oxidant คือ hydroxyl free radical (-OH) ไปทำลายจุลินทรีย์ (microorganism)
ใช้ สำหรับล้างแผลสกปรก แผลมีหนองหรือลิ่มเลือด ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แปรสภาพได้ง่ายจะสลายตัวถ้ามีสารอื่นเจือปนหรือถูกความ ร้อนและแสงสว่าง
ดังนั้นจงควรเก็บไว้ในขวดสีชาที่มีฝาปิดแน่น
เดกิน (dakin’s solution หรือ hyperchlorite solution) สามารถฆ่าเชื้อโรคและทำลายเนื้อตาย (necrotic tissue) ได้
จึงนิยมใช้กับแผลที่มีเนื้อตาย แต่มีข้อเสียคือจะละลายลิ่มเลือดและทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงได้
ไม่ควรใช้ในแผลสดเพราะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ก่อนทำแผลจึงควรเจือจางความเข้มข้น
ที่มา
http://student.mahidol.ac.th/~u4809033/instrument.html
http://www.trueplookpanya.com
วัตถุดิบ สวย
Growth Factor (h-EGF) ได้รับรางวัล Nobel ทางด้าน Bio-engineering ประกอบด้วย amino acid 53
ประกอบด้วย amino acid 53 ชนิด ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม แม้กระทั่งเซลล์ที่โดนแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลหลุมลึกจากการทำร้ายของสิว รวมถึง รอยร่องลึกบนใบหน้า เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผาก รอยร่องปาก ให้กลับตื้นขึ้น เมื่อใช้ติดต่อกัน
Nano Marine Extract (Aqua-Shuttle) เกิดจากการนำเทคโนโลยีประยุกต์ ใช้ในการทำให้สารสำคัญมีนาดเล็กลง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการซึมลงสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น โดยการนำเอนไซม์ silicateins (เอมไซม์ที่พบได้ในสาหร่ายใต้ทะเลลึก) มาทำหน้าที่เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นรพรุนเหมือนรังผึ้ง และโครงสร้างนี้ยังช่วยเป็นตัวนำพาสารอาหารอัดเข้าไปในรพรุน และทำให้เป็น nanofilm ที่เป็น monolayer เพื่อป้องกันไม่ให้สารอาหารลึกลงได้ถึงขั้นผิวด้านในผิวชั้นใน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นภายในผิวโดยการสร้างฟิลม์ป้องกันการระเหยของน้ำได้นาน 24 ชม.
Hydrolyzed Adansonia Digitata Extract สารสกัด จากเมือกบริสุทธิ์ ที่อยู่บนใบของต้น Africa Boabab ต้นไม้ที่ถูกขนานนามว่า “Tree of Life” มีอายุยืน 5,000 – 6,000 ปี ในช่วงฤดแล้งต้นไม้นี้จะรอดชีวิตเพราะมันจะเก็บรักษาน้ำเอาไว้จากช่วงฤดฝน คุณสมบัติของเมือกจะป้องกัน และซ่อมแซมผิวที่แห้ง ผิวที่แพ้ง่าย และคืนความชุ่มชื้นแก่ผิว โดยทั่วไปหากผิวเราสูญเสียน้ำ หรือความชุ่มชื้นเพียง 10% ผิวก็จะแห้งหยาบกร้านทันที
Larrea Divaricate Extract สารสกัดจากพืชตระกูลโอ๊คเตี้ย เป็นพืชที่สามารถเติบโตได้ในพื้นที่ ๆ มี สภาพแห้งแล้งจัดและดินเสื่อมเช่น ทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีอายุยืนยาว เนื่องจากมันยังคงสามารถแบ่งเซลล์ได้นานถึง 10,000 ปี จึงมีการสกัดสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเกิดของเซลล์ผิวใหม่ออกมา เพื่อใช้บำรุงให้เซลล์ผิวของเราไม่เหนื่อยล้า จนลดปริมาณการเกิดใหม่ของเซลล์ เซลล์ผิวเราจึงคงความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ กระตุ้นขบวนการผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น และเซลล์ผิวที่เกิดใหม่แข็งแรง ส่งผลสู่ผิวชั้นนอกที่เรียบเนียนนุ่ม ริ้วรอยลดลง ชุ่มชื้นตลอดเวลา
Squalane Oil คือ การเติมเต็มน้ำมันตามธรรมชาติใต้ผิวที่มีอยู่แล้ว แต่เริ่มลดลงจากการเวลา Squalane Oil คือน้ำมันสกัดจากมะกอก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นใต้ผิวหนัง และช่วยการนำพาสารสกัดเข้าสู่ผิว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ลดความแห้งกร้านแก่ผิว
Sesame Oil น้ำมันงาบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ซึ่งประกอบด้วย linoleic และ Oleic มากกว่า 40% ที่เต็มไปด้วยวิตามินอีธรรมชาติ ที่มีสารแอนติออกซิแดนต์จากธรรมชาติที่ปลอดภัยแม้ผิวแพ้ง่าย ซึมซาบสู่ผิวได้เร็ว คงความเนียนนุ่มน่าสัมผัส
Squalane/Squalene พบมากในตับปลาฉลามและน้ำมันมะกอก ร่างกายมนุษย์เราผลิต squalene เพื่อใช้สังเคราะห์ฮอร์โมน คอเลสเตอรอล และวิตามินดี ... สาเหตุที่ squalene เป็นที่นิยมใน high-end skincare products หลายๆตัว ก็เนื่องมาจากว่า squalene มีโครงสร้างใกล้เคียงกับ sebum ของผิวคนเรา และก็ยังมีคุณสมบัติ anti-oxidant และช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้ squalene ถูกใช้ในวัคซีนหลายชนิดเลยทีเดียว Note: squalane เป็นไขมันอิ่มตัวของ squalene และเป็นตัว anti-oxidant ที่ดีกว่า squalene
Jojoba Oil คือน้ำมันพืชชนิดหนึ่ง ได้มาจากเมล็ดของ jojoba พบมากในทางตอนใต้ของ Arizona, California และทางตอนเหนือของ Mexico รวมไปถึง Australia ด้วย ... มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ sebum ของผิวคนเราเช่นกัน และก็ยังมีคุณสมบัติ anti-oxidant และ ยังเป็น anti-bacteria ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวด้วย จึงทำให้น้ำมันชนิดนี้ถูกใช้ใน skincare products มากมาย ทั้งคนผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน และผิวเป็นสิวด้วย Note: จริงๆ แล้ว jojoba oil มันไม่ใช่ oil (หรือ น้ำมัน) นะคะ แต่มันเป็น wax ester ค่ะ
Rosehip Oil มักจะถูกพูดถึงว่าเป็นน้ำมัน anti-aging ชั้นเลิศ เนื่องมาจากว่าน้ำมันตัวนี้มี retinol และก็ยังเป็นน้ำมันที่มี vitamin c ในปริมาณสูงติดอันดับแรกๆ อีกด้วย ... ถึงแม้ว่าน้ำมันชนิดนี้อุดมไปด้วย essential fatty acids (ร่างกายคนเราผลิตเองไม่ได้) มากมาย แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถเก็บไว้ได้นานๆค่ะ
Meadowfoam Seed Oil เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วย long chain fatty acids ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังเป็นน้ำมันที่เสถียรมากๆ ทำให้ถูกใช้ใส่เพื่อยืดอายุของน้ำมันอื่นๆ ให้นานยิ่งขึ้น แถมยังติดทนอยู่ที่ผิวนานกว่าน้ำมันอื่นๆ ทำให้ช่วยปกป้องการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวได้ดีค่ะ
ที่มา
phoebe
http://www.annbeauty.com
แบบทดสอบสภาพผิว
1.ตอนตื่นเช้า ผิวหน้าของเราเป็นแบบไหน ก.มันเยิ้ม ข.มันบางส่วน ค.ไม่มันเลย | |
2.หลังล้างหน้า ผิวหน้าเรามีลักษณะไหน ก.เหนียวเหนอะหนะ ข.ชุ่มชื้นกำลังพอดี ค.แห้งเล็กน้อย 3.หลังจากทามอยส์เจอร์ไรส์เซอร์ประมาณ 3-4 ชั่วโมง ผิวหน้าของเราเป็นอย่างไร ก.มันจนต้องใช้กระดาษซับมันทั้งหน้า ข.มันเป็นบางส่วนเท่านั้น ค.แทบจะไม่มันเลย | |
4.กลับบ้านมาตอนเย็น ผิวหน้าของเราเป็นอย่างไร ก.มันทั่วใบหน้า ข.มันเป็นบางส่วนเท่านั้น ค.แทบจะไม่มันเลย 5.หลังล้างหน้าและบำรุงผิวตอนเย็นไป 2 -3 ชั่วโมง ผิวหน้าของเรามีความชุ่มชื้นมากแค่ไหน ก.ชุ่มชื้นมากจนมันเยิ้ม ข.ชุ่มชื้นมากแต่ไม่มันเกินไป ค.ไม่ค่อยชุ่มชื้นเท่าไร ผิวหน้ายังแห้งผากอยู่ ถ้าตอบข้อ ก เป็นส่วนใหญ่ ผิวของเราคือ ผิวมัน ถ้าตอบข้อ ข เป็นส่วนใหญ่ ผิวของเราคือ ผิวผสม ถ้าตอบข้อ ค เป็นส่วนใหญ่ ผิวของเราคือ ผิวแห้ง |
Review : Natural Intensive C Boosting Serum (OP)
หลังจากที่ได้อ่ีานกระทู้ของ PuPe_so_Sweet
เลยต้องจัดเจ้านี่ Natural Intensive C Boosting Serum (OP) มาใช้บ้าง
Ingredients :
Water, Niacinamide, Isononyl Isononanoate, Medicago Sativa (Alfalfa) Extract, Glycerin, Polyacrylamide C13-14 Isoparaffin Laureth-7, Ammonium Acryloyldimethyl Taurate/ VP Copolymer, Ascorbyl Tetraisopalmitate, Simmondsia Chinensis (Jojoba) Oil, Methylparaben, Tocopheryl Acetate, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Bisabolol, Propylparaben, Disodium EDTA, Phenoxyethanol, BHT, BHA, Fragrance.
วิตามินซี คืออะไร
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%
► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
ขนาดที่รับประทาน
ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา
ข้อควรระวัง
► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium
►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน
+++
PuPe_so_Sweet
http://www.healthdd.com/article/article_preview.php?id=42
เลยต้องจัดเจ้านี่ Natural Intensive C Boosting Serum (OP) มาใช้บ้าง
Ingredients :
Water, Niacinamide, Isononyl Isononanoate, Medicago Sativa (Alfalfa) Extract, Glycerin, Polyacrylamide C13-14 Isoparaffin Laureth-7, Ammonium Acryloyldimethyl Taurate/ VP Copolymer, Ascorbyl Tetraisopalmitate, Simmondsia Chinensis (Jojoba) Oil, Methylparaben, Tocopheryl Acetate, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Bisabolol, Propylparaben, Disodium EDTA, Phenoxyethanol, BHT, BHA, Fragrance.
วิตามินซี คืออะไร
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาว เป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหาร เรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรค ต้อกระจก ลดลงถึง 77%
► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับ อาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
ขนาดที่รับประทาน
ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพ ที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัล ว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัว อื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา
ข้อควรระวัง
► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium
►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน
+++
PuPe_so_Sweet
http://www.healthdd.com/article/article_preview.php?id=42
อย. ไม่รับรอง เครื่องสำอางเหล่านี้
อย. ประกาศเครื่องสำอางอันตราย
ขอขอบคุณ
ขอขอบคุณ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)